การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

การเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่  ( Breast  feeding )



น้ำแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกที่ธรรมชาติได้จัดสรรมาให้ คุณภาพเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของทารก  ซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่สุดของชีวิต  แม่ที่ภาวะโภชนาการดีน้ำนมแม่จะมีสารอาหารทุกอย่างครบถ้วนในช่วง  เดือนแรก  ปริมาณน้ำนมแม่โดยเฉลี่ยจะอยู่ระหว่าง  700-800  มิลลิลิตรต่อวัน  จะให้โปรตีนประมาณ  8.3-9.5 กรัม  และกำลังพลังงาน  500-600  แคลอรี่  ซึ่งเพียงพอต่อทารก  หลังจากนั้นปริมาณน้ำนมแม่จะค่อยๆลดลงเป็นประมาณ 600  มิลลิลิตรต่อวันในช่วง 6-12 เดือนและเป็น 550  มิลิลิตรต่อวันในระยะ 12-24  เดือนหลังคลอด  ทารกปกติที่กินนมแม่สามารถเติบโตได้ดี  ในช่วงที่กินนมแม่อย่างเดียว  โดยยังไม่ให้กินอาหารอื่นๆในช่วง  4-6  เดือนแรก แต่นมแม่ยังมีประโยชน์อยู่สามารถให้ทารกกินต่อไปได้จนถึง 18  เดือน โดยให้ทารกกินอาหารตามวัยเป็นอาหารหลัก   แล้วให้กินนมแม่เป็นอาหารเสริมครบคู่กันไป  น้ำแม่ที่หลั่งในวันแรกๆจะเข็มข้นมากมีสีเหลืองมีโปรตีนและแร่ธาตุสูงเรียกว่า หัวน้ำนม  จากนั้นส่วนประกอบจะเปลี่ยนเป็นนมระยะเปลี่ยนแปลง (transitional  milk) แล้งจึงเป็นนมในระยะต่อมา ( mature  milk )  ซึ่งมีสารอาหารต่างๆเหมาะสมกับการเจริญเติบโตทั้งทางสมองและร่างกายของทารก
หัวน้ำนม (colostrum) หัวน้ำนมมีสีเหลืองข้นจาก beta-carotene  มีโปรตีน  แร่ธาตุ มีวิตามินเอและอีสูง มีเม็ดเลือดขาวมากว่านมในระยะต่อมา  แต่มีน้ำตาลแล็คโทสและไขมันต่ำมีมีปริมาณหัวน้ำนม  ตั้งแต่ 7 ถึง 123 มิลลิลิตรต่อวันใน24 ชั่วโมงแรก หัวน้ำนมจะมีภูมิคุ้มกันโรคที่สำคัญซึ่งจะกล่าวถึงภายหลัง 
น้ำนมในระยะต่อมา  ( mature  milk)  ภายหลังคลอดหัวน้ำนมจะค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นน้ำนมระยะเปลี่ยนแปลงและน้ำตมในระยะต่อมาตามลำดับ น้ำนมในระยะต่อมานอกจากจะสมบูรณ์ด้วยโปรตีนที่เป็นอาหารให้สาร  non-protein  nitrogen  ไขมัน  oligosaccharides  วิตามินต่างๆ  และแร่ธาตุบ้างตัวแล้วยังปรักอบด้วย  ฮอร์โมน  เอ็มซัยม์  growth  factors และ  สารที่ช่วยป้องกันเชื่อโรคหลายชนิดอีกด้วย

คุณลักษณะที่ดีเด่นของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
1.              มีสารอาหารครบถ้วน
พลังงาน  โดยทั่วไปถือว่านมแม่จะให้พลังงาน  65 กิโลแคลอรี/100 มิลลิลิตร
โปรตีน  ในนมแม่จะมีโปรตีนประมาณ  0.9 กรัม/เดซิลิตร  และโปรตีนบ้างส่วนยังไม่ได้ใช้เพื่อเป็นอาหาร  โดยส่วนใหญ่จะใช้เป็นถูมิต้านทานโรค  แม้โปรตีนในนมแม่จะมีปริมาณต่ำกว่านมผสมประมาณครึ่งหนึ่ง  แต่ก็มีคุณภาพสูงมากและเพียงพอสำหรับความต้องการของลูก เวย์ (whey ) ซึ่งมีส่วนประกอบของโปรตีนเป็นส่วนใหญ่ในนมแม่จะย่อยง่ายส่วนเคซีน (casein) ซึ่งเป็นโปรตีนส่วนใหญ่ในนมวัวจะย่อยยากและมักย่อยได้ไม่หมด  โปรตีนในนมแม่จะมีอัตราส่วนของเวย์ต่อเคซีนสูงกว่านมผสมมาก  ทำให้ระยะเวลาย่อยนมแม่สั้นกว่าย่อยนมผสม
คาร์โบไฮเดรต  ส่วนใหญ่คือแล็คโทส ซึ่งเป็นน้ำตาล 2 ชั้น เมื้อถูกย่อยจะกลายเป็นกาแล็คโทส  และกลูโคส จะให้พลังงานสำหรับการพัฒนาสมองเด็กที่กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว   ส่วนกาแล็คโทสนั้น ยังเป็นสารจำเป็นสำหรับพัฒนาการของสมองส่วนกลางด้วย
ไขมัน  ซึ่งมีในนมแม่ประมาณ  4.2 กรัม/100  มิลิลิตร  เป็นตัวที่ให้พลังงานมากที่สุดแกทารก  ไขมันจากนมแม่ถูกย่อยและดูดซึมไปใช้ได้มากกว่าไขมันจากนมผสม  โดยเอ็มซัยม์ไลเปส (lipase)
วิตามิน   ปริมาณวิตามินในนมแม่อาจแตกต่างกันในแม่แต่ละคน  ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับอาหารของแม่  อย่างไรก็ตามวิตามินในนมแม่จะเพียงพอต่อความต่อการของลูกที่คลอดปกติครบกำหนด
วิตามินที่ละลายในน้ำ (water  soluble  vitamin) หากแม่สูภาพดีกินอาหารได้ครบห้าหมู่ก็ไม่จำเป็นที่จะดีรับวิตามินเสริม ที่ควรระวังคือ  แม่ที่กินอาหารมังสวิรัติอาจมีปริมาณวิตามินบีหกและบีสิบสองไม่เพียงพอ  วิตามินบีหกจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดง
วิตามินที่ละลายในไขมัน (fat  soluble  vitamin) ในบ้านเราจะมีปัญหาเพียงตัวเดียวคือวิตามินเคที่ต้องให้เด็กแรกเกิดด้วยการฉีดหรือกินทางปาก เพื่อป้องกันโรคเลือดออกในเด็ก
แร่ธาตุ  แม้ระดับแร่ธาตุต่างๆในนมแม่จะดูต่ำแต่รางกายลูกสามารถดูดซึมไปใช้ได้สูงจึงทำให้ลูกที่กินนมแม่ไม่ขาดแร่ธาตุต่างๆเหล่านี้ เช่น เหล็กซึ่งมีน้อยในนมแม่ แต่การศึกษาพบว่า   เด็กที่กินนมแม่สามารถปรับระดับเหล็กในเลือดให้เท่ากับเด็กที่กินนมผสมที่มีเหล็กเสริมได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายยุเก้าเดือน  แคลเซี่ยมก็เช่นเดียวกันแม้ในนมแม่จะมีน้อย  แต่จะถูกดูดซึมได้มากกว่านมวัวถึงกว่าสองเท่า
2.             ฮอร์โมนในน้ำนมแม่  ปัจจุบันพบว่าฮอร์โมนมากกว่า 10 ชนิดในนมแม่ธรรมชาติให้แม่เป็นผู้สร้างแล้งหลั่งออกมากับน้ำนมเพื่อให้เด็กที่กินนมแม่ได้นำไปใช้ เช่น lnsuin-like   growth  factor   เชื่อว่ามีหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็ก  Thyroxine  และ  thyrotropin- releasing  homone  สำหรับ  thyroxine  เชื่อว่าน่าจะเป็นตัวกระตุ้นลำไส้ของเด็กให้สมบูรณ์และอาจจะทำให้เด็กมีแนวโน้มว่าจะขาดสารไอโอดีนมีอาการของโรคล่าออกไปเพราะได้รับฮอร์โมนนี้จากนมแม่บ้าง Cortisol  ซึ่งมีมากในหัวน้ำนมในวันแรกแล้วลดลงอย่างรวดเร็ว  ตามทฤษฎีอาจมีหน้าที่สองประการคือ  ควบคุมการขนถ่ายของน้ำและแร่ธาตุในลำไส้เล็กและมีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตของตับอ่อน
3.             มีสารควบคุมการเจริญเติบโต  ส่วนประกอบที่ช่วยควบคุมส่งเสริมการเจริญเติบโต   (Growth  factors  หรือ growth  modulators )  ในนมแม่มีส่วนประกอบที่ช่วยควบคุมส่งเสริมการเจริญเติบบโตของเซลล์มนระบบที่สำคัญ
4.             มีเอ็มซัยม์ในน้ำนมแม่  ปัจจุบันเราพบเอ็มซัยม์ในนมแม่กว่า  20  ชนิด  มีความสำคัญมากในการช่วยย่อย  การต่อต้านเชื่อโรคและพัฒนาการของเด็ก เช่น   ไลเปสที่พบในนมแม่จะช่วยย่อยไขมันในนมได้ถึง 30-40%  ซึ่งจะยิ่งเป็นประโยชน์มากต่อเด็กคลอดก่อนกำหนดที่ตับอ่อนยังสร้างไลเปสได้น้อยกว่าเด็กคลอดครบกำหนด  นอกจากนี้ไลเปสยังช่วยต่อสู้เชื้อโรค  ไม่ว่าแบคทีเรีย  ไวรัส  หรือ  โปรโตซัว  แม้ในนมวัวจะมีเอ็มซัยม์แต่ก็แตกต่างจากนมแม่และในนมผสมจะไม่มีเอ็มซัยม์เหลืออยู่เลย
5.             มีภูมิต้านทานโรค  ระบบภูมิต้านทานโรคของนมแม่  เป็นสิ่งที่ทำให้นมแม่ไม่สามารถมีสิ่งอื่นใดมาทดแทนได้  ธรรมชาติให้มาเพื่อที่จะให้ลูกมีภูมิต้านทานอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มแรกจะได้  immunoglobulin G (IgG)   จากแม่ผ่านรกขณะอยู่ในครรภ์  จากนั้นจะค่อยๆถ่ายเทไปโดยได้ ได้  immunoglobulin A (IgA)   จากนมแม่หลังคลอดซึ่งหากยังกินนมแม่อยู่ก็จะได้ต่อไปจนกระทั่งร่างกายเด็กสามารถสร้างขึ้นได้เองในระยะหลัง
หัวน้ำนมแม่จะมีภูมิคุ้มกันโรคที่สำคัญคือ IgA  อย่างเข้มข้น  ซึ่งจะช่วยเด็กตั้งแต่แรกคลอดขณะที่ยังสร้างเองไม่ได้โดยทั่วไปเด็กจะเริ่มสร้าง IgA  ตั้งแต่อายุประมาณ  เดือนจะสร้าง  IgA  ได้อย่างสมบูรณ์ก็ต่อเมื่ออายุประมาณ   24  เดือนไปแล้ว Lysozyme  ก็คล้ายกันการสร้างยังไม่สมบูรณ์จนอายุประมาณ  ถึง 2 ขวบ  ดังนั้นข้อแนะนำให้เด็กได้กินนมแม่จนอายุเข้าขวบปีที่สองหรือนานกว่านั้น
6.             ประหยัด  การเลี้ยงทารกด้วยน้ำนมแม่เป็นการประหยัดอย่างมากทั้งต่อครอบครัวและต่อประเทศเพราะไม่ต้องเสียงค่าใช้จ่ายเลี้ยงทารกด้วนนมผสม  ทั้งน้ำนมที่ทำให้คล้ายนมมารดาและน้ำนมครบส่วน  ประเทศเรายังไม่สามารถผลิตน้ำนมได้เพียงพอต้องสั่งมาจากต่างประเทศปีละหลายร้อยล้านบาท  จึงเป็นการประหยัดโดยตรง  นอกจากนี้มีการประหยัดโดยอ้อมคือ  การที่ทารกแข็งแรงก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองในการรักษา  ถ้าทารกกินนมผสมหรือน้ำนมวัวอาจเกิดปัญหาโรคติดเชื้อ  ท้องเสีย  โรคขาดโปรตีนและแคลอรี  ทำให้เป็นปัญหาหนักและสิ้นเปลืองเป็นอย่างมาก
7.             สะดวก  สะอาด  และปลอดภัย  น้ำนมแม่จะมีให้เสมอไม่ต้องใช้เวลาเตรียมแม่ที่มีสุขภาพดีจะมีน้ำนมที่มีปริมาณและคุณภาพเพียงพอสำหรับทารก  การให้ทารกดูดมนแม่จะกระตุ้นให้มีการหลั่งน้ำนมออกมา  ประชาชนไทยส่วนใหญ่กว่าร้อยละ  85  ยังอยู่ในภาวะแวดล้อมที่มีสุขลักษณะที่ไม่ดี  การเตรียมหรือการผสมนมมักจะทำไม่ถูกต้องหรือไม่สะอาดพอทารกจึงมักจะเกิดโรคท้องเสียและโรคขาดอาหารตามมานั้น  เป็นปัญหาสำคัญของประเทศเพราะสาเหตุของการเจ็บป่วยของทารกที่อายุต่ำกว่า  ปี  ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่างๆจะเป็นโรคท้องเสียกว่าร้อยละ  35  การเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่จะช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหานี้ได้
8.             ด้านจิตใจ  ทำให้แม่และลูกมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด  สบายใจ และภาคภูมิใจทั้งแม่และลูกขณะให้นมลูกจะมีการสัมผัสและมองตากัน  ทำให้มีความสุขและพอใจ
9.             ด้านการเกิดโรคภูมิแพ้  ทารกที่เลี้ยงด้วยนมน้ำนมแม่มักจะไม่มีปัญหาการเกิดโรคภูมิแพ้เพราะในน้ำนมแม่ไม่มี  lactoglobulin  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรตีนใน  whey  แต่ในน้ำนมวัวจะพบโปรตีนตัวนี้  ซึ่งทำให้เกิดภาวะภูมิแพ้ต่อโปรตีนในน้ำนมได้ประมาณร้อยละ การเกิดโรคภูมิแพ้นี้เข้าใจว่าลำไส้ทารกในระยะ 2-3 เดือนแรกที่เลี้ยงด้วยน้ำนมวัวจะยอมให้โปรตีนขนาดโตผ่านไปได้  จึงเกิดปัญหาปฏิกิริยาภูมิแพ้ในเวลาต่อมา
10.      ปัญหาการได้รับอาหารมากเกินไป   น้ำนมแม่จะมีปริมาณพอเหมาะสำหรับทารกเมื่อเด็กอิ่มก็จะหยุดดื่มต่างจากการเลี้ยงด้วยนมวัว  ซึ่งคนเลี้ยงมักจะคะยั้นคะยอให้ทารกดื่มจนหมดขวดซึ่งมักจะเกิดปัญหาเรื่องการได้รบอาหารมากเกินไปและเกิดโรคอ้วนในเด็ก  ปัญหานี้พบมากข้นเรื่อยๆในยุโรปและสหรัฐอเมริกา  ทารกได้รับการเลี้ยงดูด้วยน้ำนมผสมวันละมากๆและได้อาหารเสริมมากในขณะที่ทารกอายุยังน้อยผลเสียอันนี้อาจเป็นสาเหตุนำไปสู่การเป็นเบาหวานเมื่อโตขึ้นหรือเป็นสาเหตุอันหนึ่งของ  atherosclerosis
11.      ผลต่อตัวแม่  โดยเฉพาะเกี่ยวกับการมีประจำเดือน  โดยเฉลี่ยแม่ที่ให้นมลูกเต็มที่จะไม่มีประจำเดือนระหว่างให้นม(lactation  amenorrhea )  เป็นเวลา  8-12  เดือนแต่แม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมตนเองจะมีประจำเดือน  2-4 เดือนหลังคลอด  ประโยชน์ในด้านนี้คือจะช่วยในด้านการวางแผนครอบครัว  โดยแม่ที่ให้นมลูกเต็มที่จะป้องกันไม่ให้ตั้งครรภ์ได้ประมาณ  เดือน  การที่ทารกดูดนมแม่จะกระตุ้นให้มีการหลั่ง  oxytocin  ซึ่งจะช่วยให้มดลูกหดตัวเข้าช่องเชิงกรานได้ดีด้วย



หลักการให้น้ำนมทารกด้วยน้ำนมแม่
1.             การเตรียมตัวของแม่ก่อนคลอด   แม่ควรจะได้เห็นความสำคัญและประโยชน์ของการเลี้ยงทารกด้วยนมแม่  นอกจากจะกินอาหารที่เหมาะสมเพียงพอ  ควรมีการออกกำลังกายและเตรียมใจไว้ด้วย  การเตรียมหัวนมควรจะเริ่มในระยะกลางๆของการตั้งครรภ์คือหลังจากนวดทาด้วยน้ำมัน( มะกอก) หรือครีม  แม่ควรดึงหัวนมวันละ  2-3  พักๆ ละหลายทีถ้าหัวนมบุ๋มหรือบอดก็อาจจะต้องดึงออกและนวดเต้านม  การนวดเต้านม  สัปดาห์ก่อนคลอดจะช่วยลดการมีนมคัดหลังคลอดได้
2.             การให้นมลูก  อาจให้ทุก  3-4 ชมหรือตามความต้องการของลูกก็ได้  แม่ควรจะนั่งในท่าสบายไม่มีความเครียดขณะให้นมลูก  ควรเช็ดหัวนมให้สะอาดด้วยผ้าหรือสำลีชุบน้ำก่อนให้นมทารกดื่ม  ทารกจะใช้เวลาดูดนมหมดเต้าประมาณ  5-20  นาทีในระยะแรกๆหลังคลอดอาจให้ดูดสลับทั้ง  เต้าในแต่ละมื้อ  ต่อไปเมื่อทารกดูดได้แรงดีอาจให้ดูดเต้าเดียวในแต่ละมื้อคือให้ดูดจนเกลี้ยงเต้า  พอมื้อต่อไปก็ให้สลับเต้า  เมื่อทารกได้น้ำนมเพียงพอจะหลับ 2-4 ชม. แล้วตื่นขึ้นมากินนมอีก  หลังจากทารกดูดนมพอแล้วควรอุ้มพาดไหล่แล้วลูบหลังเพื่อให้เรอเอาลมออก  การวางทารกหลังดื่มนมควรให้นอนตะแคงขวา  น้ำนมจะได้ผ่านกระเพาะได้สะดวก
ปัญหาของการเลี้ยงลุกด้วยน้ำนมแม่
1.             แม่ที่ต้องทำงานนอกบ้าน  เป็นปัญหาที่มักพบกับแม่ที่อยู่ในเมืองอย่างน้อยระยะ  30-45  วันที่แม่ได้หยุดพักงานหลังคลอด  ทารกควรได้น้ำนมแม่อย่างเต็มที่เมื่อแม่กลับไปทำงานก็ควรให้นมลูกในตอนเช้า  ตอนเย็น  และตอนกลางคืน  เต้านมที่คัดในตอนกลางวันก็อาจใช้ปั๊มออก
2.             น้ำนมไม่พอ  ถ้าเกิดในระยะแรกหลังคลอดมักจะเป็นเพราะไม่ได้เตรียมเต้านมก่อนคลอดหรือไม่ได้ให้ทารกดูดนมเพียงพอ  การที่ลูกดูดหัวนมจะกระตุ้นให้มีการหลั่งน้ำนมและมีผลทำให้การสร้างน้ำนมดีขึ้น ดังนั้นหลังคลอดควรให้ทารกดูดนมเร็วที่สุดเท่าที่เป็นได้คือ  หลังจากการพักผ่อนทั้งแม่และลูก  6-8 ชั่วโมงหลังคลอด  ถ้าพบว่าน้ำนมไม่พอในระยะต่อๆมา มักจะเป็นเพราะแม่สุขภาพไม่ดีซึ่งมักจะพบกับแม่ในชนบท  ต้องแนะนำให้บำรุงอาหารให้ได้โปรตีน  พลังงาน  และสารอาหารอื่นๆ  ให้เพียงพอ
3.             ปัญหาที่เต้านมและหัวนม  เช่น  หัวนมบอดหรือหัวนมแตก ซึ่งควรได้รับการแก้ไขตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์  หัวนมแตกอาจจะต้องงดการให้นมลูกชั่วคราว  และควรเช็ดหัวนมด้วยผ้าเช็ดตัววันละ  3 ครั้ง  เพื่อให้ดีขึ้น
4.             ความเชื่อและความนิยมของสังคม   เชื่อว่าน้ำนมแม่ไม่ดีพอสำหรับทารกน้ำนมผสมดีกว่าและเหมาะกับสังคมมากกว่า  ควรมีการแนะนำให้แม่เห็นความสำคัญและประโยชน์ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
สภาพการณ์การเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่
ในรอบ  20 ปีที่ผ่านมาแนวโน้มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในแระเทศไทยลดลงเรื่อยๆตามสภาพการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม  แม่เริ่มหันไปเลี้ยงลูกด้วยนมผสมกันมากขึ้น  โดยเฉพาะในกลุ่มที่ทำงานนอกบ้านทั้งในเขตเมืองและชนบท
จากข้อมูลล่าสุดขององค์การกองทุนเพื่อเด็กแห่งประชาชาติได้รายงานว่า  แม่ไทยส่วนใหญ่ หรือประมาณร้อยละ  80  อาศัยอยู่ในเขตชนบท ในจำนวนนี้ประมาณร้อยละ 60  เลี้ยงลูกด้วยนมตนเองเป็นเวลาอย่างน้อย  ปี  ส่วนแม่ในเขตเมืองจะเลี้ยงลูกด้วยนมตนเองมีอัตราที่น้อยกว่า  และระยะเวลาที่สั้นกว่า
กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานเมื่อปี่ พ..  2535  ระบุว่าแม่ในเขตชนบทให้กินนมแม่จนถึงอายุครบ 2  ขวบ  มีร้อยละ  24  ในขณะที่พบเพียงร้อยละ  ในเขตเมือง
ตารางที่  3-5   อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของประเทศไทย  ระหว่างปี พ.. 2529-2535
ลักษณะการกินนมแม่
ร้อยละ
กินนมแม่อย่างเดียว อย่างน้อย 3 เดือน                   
4
กินมแม่พร้อมอาหารอื่นนาน 6-9 เดือน                          
69
               
นอกจากนี้  จากผลการศึกษาสถานการณ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในคลินิกเด็กดีในศูนย์ส่งเสริมสุขภาพเขต เมื่อ  พ. .2535 โดยกองโภชนาการ  กรมอนามัย  พบว่าแม่เพียงร้อยละ 4.5  ให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียวภายใน  3 เดือน ในขณะที่ร้อยละ  60.9  ให้ลูกกินนมแม่นานไม่เกิน  6  เดือน  และให้กินนมแม่นานกว่า ปีมีเพียงร้อยละ  0.9
จากการสำรวจล่าสุดของกรมอนามัยครอบครัว  กรมอนามัย  เมื่อเดือนสิงหาคม พ.. 2536  ได้สำรวจข้อมูลพื้นฐานการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทั้งประเทศพบว่า  แม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ย่างเดียวอย่างน้อย  เดือน  มีเพียงร้อยละ  1.9  และเลี้ยงควบคู่กับอาหารตามวัยถึง  12   เดือน  มีร้อยละ  62.9  และจนถึง  ขวบ  ร้อยละ  40.9








ข้อมูลทางบรรณานุกรม
อบเชย  วงศ์ทอง.
โภชนศาสตร์ครอบครัว /  อบเชย   วงศ์ทอง.—พิมพ์ครั้งที่ 3.—กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,  2546.
159  หน้า
1.โภชนาการ.
ISBN    974-537-111-4


5 ความคิดเห็น: